พญ.เพ็ญลดา ครุธโกษา ความสุขแบบแอดเวนเจอร์

1207
แพทย์หญิงเพ็ญลดา

เรื่อง มัลลิกา นามสง่า-จุฑามาศ นิจประพันธ์

ใช่เพียงแค่เรื่องรักสวยรักงาม แต่ยังมีอีกหลายมุมที่ พญ.เพ็ญลดา ครุธโกษา หรือหมอแหวว ซีอีโอธุรกิจด้านความงาม เอเม่คลินิก ให้ความสำคัญ

เมื่อพลิกมุมจากบทบาทคุณหมอผู้สวมเสื้อกาวน์สุดเนี้ยบ จะพบกับคาแรกเตอร์ของหญิงสาวทะมัดทะแมง ที่มีกิจกรรมสุดโปรด อย่างการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม

จากความตั้งใจของเด็กเรียนดีและแรงสนับสนุนจากคุณแม่ซึ่งเป็นพยาบาล ทำให้เพ็ญลดาคว้าใบปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรังสิตสำเร็จ และศึกษาต่อเฉพาะทางด้านพยาธิวิทยากายวิภาคที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะความสนใจพิเศษเรื่องร่างกายมนุษย์และการขจัดของเสียออกจากร่างกาย

ระหว่างนั้นได้เก็บเกี่ยวความรู้ด้านผิวพรรณความงามจากหลากหลายคลินิก และนำมาทดลองใช้กับตัวเองจนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ หลังจากได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์มากพอแล้ว จึงจับมือกับเพื่อนแพทย์และทีมงานเพื่อริเริ่มกิจการด้านความงาม

“ผู้หญิงทุกคนอยากสวยเนอะ ไม่ว่าจะมีบุคลิกห้าวก็ตาม เราก็ไปเที่ยวเล่นอะไรของเรา ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง ประกอบกับเราเห็นเพื่อนที่แต่ก่อนเพื่อนไม่ได้สวยขนาดนี้ ทำไมตอนนี้มันสวยมาก เกิดอะไรขึ้นเราก็เลยคุยๆ กัน หลายๆ คน เขาก็เบนเข็มมาทางด้านธุรกิจความสวยความงามเข้ามาก่อน

แต่แรกๆ หมอไม่ได้ทำทางนี้เลย แต่ว่าพอทำไปการรักษาโรคมันก็จะมีความเครียดพอสมควร รักษาโรคมันก็ทุกข์เนอะ คนเราไม่มีใครไม่เสียชีวิต เจอคนป่วยเป็นมะเร็ง อุบัติเหตุรุนแรง เราก็เครียดเราก็ทำใจไม่ได้ รู้สึกว่าเสียใจมาก พอนานๆ ก็ไม่ชอบพอเรารู้สึกว่าทางนี้มันมีความสุขกว่า เราก็ค่อยๆ หันมาทางนี้เต็มตัว”

พอทำงานจุดนี้ได้เห็นผู้ใช้บริการหลายคนที่อยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้น จนบางคนเรียกว่าเสพติดศัลยกรรม แต่เพ็ญลดาก็มีวิธีเจรจากับคนไข้

แพทย์หญิง เพ็ญลดา

“ปัจจุบันมีผู้หญิงที่กล้าทำสวยมากขึ้น ทั้งการปรับรูปหน้าโดยไม่ศัลยกรรมและศัลยกรรม หมอว่าทุกคนตอนนี้รู้จุดที่พอดีสำหรับตัวเอง รู้ความต้องการของตัวเองว่าต้องทำแค่ไหน

ก็มีบ้างเหมือนกันที่บางคนมีความต้องการแบบเปลี่ยนไปเลย ถ้าเป็นลักษณะนี้หมอก็จะไม่แนะนำเท่าไหร่ เปลี่ยนในที่นี้คือ มันก็ต้องดูพื้นฐานของหน้า สมมติว่าหน้าสไตล์อีสานแต่จะเปลี่ยนเป็นต่างชาติ (ฝรั่ง) มันก็เกินไป

ถ้าถามว่าทำได้ไหม นวัตกรรมเดี๋ยวนี้ทำได้นะคุณเปลี่ยนโครงสร้างก็ได้ จริงๆ คุณสามารถทำได้หมด สมมติโหนกเยอะไป ก็ทุบก็ตัดได้ หรือว่าถ้าไม่มี มันก็มีซิลิโคนให้เสริม แต่ถามว่าถ้ามันต้องเปลี่ยนไปเลยเนี่ย เราทำแล้วเราได้อะไร เราคุ้มหรือเปล่า บางคนเขาโอเค เงินถึง อยากจริงๆ ทำแล้วทำงานได้ดี อันนี้ต้องคุยกัน แล้วต้องทำแล้วถึงขนาดไหน เราก็ต้องดูว่าเขามีปัญหาเรื่องของแนวความคิดหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นบางคนพอทำไปเสร็จก็ไม่จบ พอได้แบบหนึ่ง อีกวันเกิดเปลี่ยนอยากเป็นดาราอีกคน

ส่วนเสพติดศัลยกรรมมีนะ บางคนที่เดินเข้ามาหมอและหลายๆ คนบอกสวยแล้ว แต่ว่าตัวเองยังบอกไม่สวยอยู่เลยอยากเปลี่ยน แบบนี้บางทีเราก็ต้องคุยนะคะ คุยก่อน แต่ถ้าคุยไม่ได้จริงๆ ตัวเราเองก็ต้องซื่อสัตย์ บางคนอาจจะคิดว่าไม่เป็นไรทำๆ ไปเถอะได้เงินแต่เราบอกเลยทำไม่ได้แล้ว สวยแล้ว เราหยุดไว้แค่นี้ดีกว่า”

เพ็ญลดา ดูแลกิจการทั้ง 5 สาขา อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เข้าทำงาน 7 วันต่อเนื่อง แต่ชั่วโมงทำงานไม่ได้โหดร้าย

“คลินิกเปิดตั้งแต่เช้าก็จริงแต่ลักษณะของคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ มีบางส่วนที่ทำโดยไม่ต้องใช้หมอ อย่างเช่น ทรีตเมนต์ นวดหน้า ในเรื่องของแพทย์แผนจีนก็จะเป็นคุณหมอท่านอื่น

ระหว่างวันมีผู้ใช้บริการหลากหลาย ในส่วนของที่เป็นหมอเอง ผ่าตัดหรือเป็นเรื่องของการฉีด เพราะฉะนั้นชั่วโมงของหมอก็จะไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่ด้วยเราเป็นเจ้าของเองด้วยก็จะมีงานอื่นๆ เข้ามา”

ยามเมื่อถึงเวลาหยุดพัก เธอจะใช้เวลาชนิดที่ว่าคุ้มแน่นอน เพราะการหยุดหนึ่งครั้ง คือการได้ทำอะไรที่รักและได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่

“โดยนิสัยถ้าหยุดจะหยุดยาว ด้วยความที่เราเคยชินตั้งแต่สมัยเรียนในเรื่องของการทำงาน ฉะนั้นเราไม่ได้มองว่าต้องมีวันหยุดประจำ แต่เมื่อไรที่เราอยากไปเที่ยวอยากพักผ่อน เราก็บาลานซ์ เราก็เบรก ชอบไป เวลาขึ้นอยู่กับความจำเป็นของทริป นานสุดที่เคยไปคือ 17 วัน ไปขี่ม้าที่มองโกเลีย

ชอบแอดเวนเจอร์ ชอบไปหาธรรมชาติ ไม่ชอบช็อปปิ้ง คนรอบข้างก็บอกว่าเหมือนเหนื่อยขึ้นหรือเปล่ากับกิจกรรมที่ทำ ไปดำน้ำ ขี่ม้า แต่เราว่านี่คือความสุขมีความรู้สึกว่าถ้าเราได้วันหยุดยาวๆ ก็อยากไปออกกำลังไปหากิจกรรมที่ได้ปลดปล่อยความเครียดจากการทำงาน”

เธอเท้าความถึงความชอบกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมตั้งแต่เด็ก ดูนก ดำน้ำ พอโตเข้าสู่วัยทำงาน ชีวิตจึงวนเวียนอยู่กับกิจกรรม ดำน้ำ ขี่มอเตอร์ไซค์ ขี่ม้า สกี

“อะไรที่เป็นกีฬาเล่นหมด แต่ช่วงไหนเล่นอะไรก็จะเอาให้สุดก่อน พออิ่มตัวก็เปลี่ยน แต่อิ่มตัวนี่คือไม่ได้เลิกนะ แค่อิ่มตัวกับสิ่งนั้นไปสักพัก อย่างตอนดำน้ำติดกัน 2-3 ปี ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวก็ 4-5 ปีต่อเนื่องไปแทบจะทั่วแล้ว จุดนี้ก็เริ่มอิ่มตัว แต่ยังอยากไปขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวต่างประเทศ”

สำหรับคาแรกเตอร์สาวบิ๊กไบค์มีจุดเริ่มต้นจากการเช่าขี่รถเล่นกับเพื่อนในพัทยา แล้วค่อยๆ ขยับขยายจากรถเล็กเป็นรถใหญ่ รวมเป็นเวลา 20 ปีที่เธอชื่นชอบกิจกรรมนี้

ถอยบิ๊กไบค์คันแรกด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง คือ Kawasaki D-Tracker 250 ซีซี เป็นรถแนวทัวริ่งกึ่งสายวิบาก และพาตัวเองไปเข้าร่วมกลุ่ม Girl Riders และก้าวสู่การเป็นบล็อกเกอร์ ชื่อ SweetSyrup ที่แบ่งปันความรู้เรื่องเส้นทางและการขับขี่มอเตอร์ไซค์อย่างปลอดภัยบนท้องถนน

เป็นยุคแรกๆ ที่มีผู้หญิงขี่บิ๊กไบค์แล้วออกมาเขียนบล็อก ประกอบกับการที่หมอแหววชอบตั้งคำถามกับสังคมว่า “ทำไมผู้หญิงถึงไม่สามารถทำอะไรคนเดียวได้”จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีผู้ติดตามบล็อกเธอจำนวนมาก

เปรียบกีฬาที่เล่นคล้ายกับของเล่น แม้ว่าจะเปลี่ยนชิ้นแต่สไตล์ของเล่นก็ยังเป็นเช่นเดิม และความรู้สึกก็เหมือนเด็กเวลาได้ของเล่นใหม่ก็อยากเล่นอยากลอง สนุกให้เต็มที่ก่อนไปหาชิ้นใหม่ ล่าสุดที่กำลังสนใจอยู่ คือ สกี

“พอเพื่อนเขาไปเล่นกัน เราก็เอาด้วย ลองเปลี่ยนก็ได้ มันเหมือนกีฬาแอดเวนเจอร์ทั่วไป แค่เปลี่ยนจากในน้ำ เป็นบนบก แล้วมาเล่นหิมะบ้าง

เล่นหมดแหละอะไรที่เป็นแอดเวนเจอร์ ถ้าถามว่าทำไม ก็คงเพราะสนุก มันท้าทาย มันไม่ใช่เรื่องของความเร็วอย่างเดียว บางอย่างก็ไม่ได้เร็ว อาจจะเป็นเรื่องของเทคนิค ความสนุก และเราได้ฝึกทักษะที่แปลกและต่างออกไป บวกกับได้เล่นกีฬา ได้ออกกำลังยืดเส้นยืดสาย

แต่ละคนก็ต้องบาลานซ์ชีวิตตัวเองนะคะ หมอบาลานซ์ตัวเองในเรื่องของการจัดเวลาไปทำกิจกรรม คือการรีแลกซ์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน สำหรับหมอก็จัดการออกกำลังให้มันได้เปลี่ยนสถานที่ เช่น ขี่จักรยานไปเที่ยวจันทบุรี หมอไปน้ำตก ไปเล่นน้ำหรืออาจจะขี่ไปหยุดที่เนินนางพญา เสร็จปุ๊บเราก็อาจนัดน้องนัดเพื่อนให้ไปรับ แล้วก็แวะทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงาน มันก็เหมือนเราได้รีแลกซ์ประมาณหนึ่ง เราได้เที่ยวไม่เครียดมาก มีการเปลี่ยนสถานที่”

นอกจากรักในกีฬาเอ็กซ์ตรีมแล้ว ยังชอบทำสมาธิ “จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ใช้เวลาเยอะ คนเราควรต้องทำเรื่องนี้ทั้งก่อนนอนและตื่นนอน

นั่งคิดว่าระหว่างวันเกิดอะไรขึ้น ดูจิตตามอารมณ์เรา ส่วนตอนตื่นนอน คนเรามันไม่ได้ลุกขึ้นมาเลยหรอก เราก็รวบรวมสมาธิก่อน ประมวลผลว่าวันนี้เราต้องทำอะไร อยากให้ตัวเองเป็นอย่างไร เราก็ท่องกับตัวเองพูดกับตัวเอง เหมือนสะกดจิตตัวเอง

หมอเชื่อในศาสตร์ NLP หรือการสื่อสารกับตัวเองเพื่อโฟกัสตัวเองในแต่ละวัน ผ่อนคลายตัวเองจากสิ่งที่ดึงเราออกจากลู่ทางที่เราจะให้เป็น เขียนเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน

แล้วก็ข้อดีข้อเสีย ข้อเสียของเราคือเราไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเป็นคนแบบไหน ก็แค่พูดกับตัวเอง เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานเธอมีเรื่องนะ เธอโมโหเยอะเกินไปไหม มันจำเป็นต้องโมโหขนาดนี้เหรอ ลองคุยกับตัวเอง สื่อสารกับตัวเองดู

หมอเชื่อว่ามันเปลี่ยนทุกคนได้ ของพวกนี้ไม่ต้องใช้เวลาเยอะ บางทีอาจจะคิดว่าเราต้องนั่ง 3-4 ชั่วโมงเพื่อให้มันบรรลุ ไม่จริง จริงๆ คนที่นั่งสมาธิหรือโฟกัสได้ดี 5 นาที 10 นาที ก็ส่งผลได้ทั้งวันแล้ว แต่ว่าถ้าถามว่านั่งสมาธิบ่อยๆ 4-5 ชั่วโมง หมอเคยนะนั่งไปเลย นั่งแล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร พอเราหลุดออกจากสมาธิเราก็รู้สึกว่าสดใส”

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากสิ่งต่างๆ คือ การฟังเพลง คนที่ใกล้ชิดจะคุ้นตากับภาพที่เธอมีหูฟังติดตัวแทบตลอดเวลา แนวเพลงที่ชอบฟังคือเพลงบรรเลง ฟังสกอร์ของหนัง เป็นดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้องประกอบภาพยนตร์ และพวกซาวด์แทร็กต่างๆ

“แต่ก่อนหาฟังตามวิทยุ ชอบฟังสไตล์ออกรบหน่อยๆ แต่ไม่ถึงกับฮึกเหิมอะไรขนาดนั้น บางเพลงมันก็เศร้า ดนตรีมันสวย บางทีมันเศร้า สนุก แล้วแต่ในหนังแต่ละเรื่อง มันทำให้เราได้จินตนาการ บางครั้งได้ปลดปล่อยไปกับมัน ได้คิดตาม มันช่วยเรื่องความจำ และเพลงช่วยในเรื่องของอารมณ์อยู่แล้ว บางคนก็จะปลดปล่อยความเครียดไปกับเพลง บางคนนั่งฟังเพลงก็จะคิดตาม ร้องตาม การร้องเพลงเป็นการระบายอารมณ์รูปแบบหนึ่ง”

ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน ผู้หญิงร่างบางก็มีจิตใจที่แกร่งพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติ เพราะทุกสิ่งที่ทำเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ ที่สำคัญจิตรับรู้ทุกการกระทำด้วยอารมณ์สงบสุข

ข่าวจาก https://www.posttoday.com/ent/celeb/550093